ย้อนกลับ
หน้าแรก
วิธีการสั่งซื้อ
เกี่ยวกับเรา
รวมเว็บบอร์ด
ติดต่อเรา
เครื่องพ่นละอองยา
เครื่องดูดเสมหะ
ใช้ในบ้านเรือน
ใช้ในบ้านเรือนและยานพาหนะ
สำหรับใช้ในโรงพยาบาล
เครื่องวัดความดัน
เครื่อวัดความดันแบบ Digital
เครื่องวัดความดันแบบปรอท
เครื่องวัดความดันแบบติดผนัง
เครื่องผลิตออกซิเจน
เครื่องผลิตออกซิเจนขนาด 3 ลิตร
เครื่องผลิตออกซิเจนแบบ 5-10 ลิตร
เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว
เครื่องวัดออกซิเจน MD300C1
เครื่องวัดอัตราการเต้นของชีพจรและปริมาณออกซิเจนในเลือด
เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด ROSSMAX รุ่น SA210
ชุดถังออกซิเจน
ถังออกซิเจนชนิดเหล็กพ่นสี
ถังออกซิเจนชนิดอลูมิเนียม
O2 Flowmeter
สำหรับใช้ในเด็ก
สำหรับใช้ในผู้ใหญ่
เตียงนอนผู้ป่วย
เตียงผู้ป่วยปรับระดับด้วยมือ
เตียงผู้ป่วยปรับระดับด้วยไฟฟ้า
ที่นอนลมป้องกันแผลกดทับ
เครื่องเจาะน้ำตาลในเลือด
accu-chek รุ่น performa
accu-chek รุ่น active
อุปกรณ์สแตนเลส
SIM 01-04
SIM 05-08
SIM 09-12
SIM 13-16
SIM 17-20
SIM 21-26
SIM 27-32
SIM 33-38
SIM 39-44
SIM 45-50
SIM 51-56
SIM 57-62
SIM 63-68
SIM 69-74
SIM 75-80
SIM 81-86
SIM 87-92
SIM 93-98
SIM 99-104
อื่นๆ
อุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ชุดตรวจร่างกาย
อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วย
อุปกรณ์บริหารร่างกาย(กายภาพบำบัด)
แชร์เรื่องราว
www.siamintermedical.com
จำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์
หน้าแรก
วิธีการสั่งซื้อ
เกี่ยวกับเรา
รวมเว็บบอร์ด
ติดต่อเรา
เครื่องพ่นละอองยา
เครื่องดูดเสมหะ
ใช้ในบ้านเรือน
ใช้ในบ้านเรือนและยานพาหนะ
สำหรับใช้ในโรงพยาบาล
เครื่องวัดความดัน
เครื่อวัดความดันแบบ Digital
เครื่องวัดความดันแบบปรอท
เครื่องวัดความดันแบบติดผนัง
เครื่องผลิตออกซิเจน
เครื่องผลิตออกซิเจนขนาด 3 ลิตร
เครื่องผลิตออกซิเจนแบบ 5-10 ลิตร
เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว
เครื่องวัดออกซิเจน MD300C1
เครื่องวัดอัตราการเต้นของชีพจรและปริมาณออกซิเจนในเลือด
เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด ROSSMAX รุ่น SA210
ชุดถังออกซิเจน
ถังออกซิเจนชนิดเหล็กพ่นสี
ถังออกซิเจนชนิดอลูมิเนียม
O2 Flowmeter
สำหรับใช้ในเด็ก
สำหรับใช้ในผู้ใหญ่
เตียงนอนผู้ป่วย
เตียงผู้ป่วยปรับระดับด้วยมือ
เตียงผู้ป่วยปรับระดับด้วยไฟฟ้า
ที่นอนลมป้องกันแผลกดทับ
เครื่องเจาะน้ำตาลในเลือด
accu-chek รุ่น performa
accu-chek รุ่น active
อุปกรณ์สแตนเลส
SIM 01-04
SIM 05-08
SIM 09-12
SIM 13-16
SIM 17-20
SIM 21-26
SIM 27-32
SIM 33-38
SIM 39-44
SIM 45-50
SIM 51-56
SIM 57-62
SIM 63-68
SIM 69-74
SIM 75-80
SIM 81-86
SIM 87-92
SIM 93-98
SIM 99-104
อื่นๆ
อุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ชุดตรวจร่างกาย
อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วย
อุปกรณ์บริหารร่างกาย(กายภาพบำบัด)
แชร์เรื่องราว
หน้าแรก
>
แชร์เรื่องราว
>
เห็นบ่อยเลย เส้นบาง ๆ ลอยอยู่ในลูกตา!! มันคืออะไรกันแน่!!
เห็นบ่อยเลย เส้นบาง ๆ ลอยอยู่ในลูกตา!! มันคืออะไรกันแน่!!
โดย:
gopfiie
[IP: 171.96.240.xxx]
เมื่อ: 2015-01-19 13:34:06
เห็นบ่อยเลย เส้นบาง ๆ ลอยอยู่ในลูกตา นี่ละเรียกว่า Floater
ความคิดเห็น
Facebook Comments
#1
โดย:
gopfiie
[IP: 171.96.240.xxx]
เมื่อ:
2015-01-19 13:36:41
Floater อาการมองเห็นจุดดำ หรือเส้นใยบาง ๆ ลอยไปมาในดวงตา คืออะไร แล้วเจ้า Floater นั้นมีอันตรายต่อดวงตาของเราหรือไม่ ได้เวลาทำความรู้จักและทำความเข้าใจกันแล้ว
ดวงตา อวัยวะสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกาย เป็นอวัยวะที่ทำให้เรามองเห็นได้ แถมยังบอบบางมากกว่าที่เราคิด ดังนั้น เราต้องสำรวจความเปลี่ยนอยู่แทบจะตลอดเวลา เพราะหากเกิดความผิดปกติเพียงนิดเดียวก็อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายของดวงตาได้ อย่างเช่นอาการเห็นจุดดำลอยไปมาในดวงตา บางคนเห็นปุ๊บอาจจะตกใจจนต้องไปพบจักษุแพทย์ แล้วพอไปตรวจก็ถูกสรุปอาการด้วยคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยอย่างคำว่า Floater ก็ยิ่งทำให้ยิ่งกังวลอีกว่าเจ้าอาการนี้จะทำให้ตาบอดหรือไม่ แต่อย่าเพิ่งกังวลใจจนเกินไปค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมขอพาทุกท่านไปรู้จักกับอาการ Floater หรืออาการมองเห็นจุดดำในดวงตา ว่าจริง ๆ แล้วอาการเหล่านี้คืออะไร มีที่มาอย่างไร และจะมีวิธีการรักษาหรือการป้องกันอย่างไร ถ้าอยากให้ดวงตาอยู่กับเราไปนาน ๆ ก็ห้ามพลาดเด็ดขาดเลย
Floater คืออะไร ?
โฟลตเตอร์ (Floater) หรือที่มีชื่อเรียกแบบเข้าใจง่ายว่า ตะกอนในน้ำวุ้นตา มีลักษณะเป็นใย หรือจุดดำเล็ก ๆ ในดวงตาสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ มักจะมองเห็นได้ชัดเมื่อต้องมองไปยังบริเวณที่มีเป็นพื้นเรียบ ๆ ที่สว่าง ๆ เช่น สถานที่กลางแจ้งแดดจ้า มักจะเกิดขึ้นร่วมกับอาการ ไฟแวบในดวงตา (Flashing) ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะเสื่อมของน้ำวุ้นลูกตา ทีเกิดขึ้นได้เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น โดยจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล แต่อาการดังกล่าวไม่มีความอันตรายต่อดวงตาหรือการมองเห็นแต่อย่างใด และอาการมักจะหายไปในเวลาไม่นาน เนื่องจากร่างกายมีการปรับตัวให้ดวงตามองเห็นจุดดำที่ลอยไปมาน้อยลง
สาเหตุของ Floater
เมื่อคนเราอายุมากขึ้น น้ำวุ้นในลูกตาจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยจะหดตัวลงและแปรสภาพจากวุ้นกลายเป็นน้ำ ทำให้เกิดตะกอนลอยในดวงตา แต่ก็ไม่มีมากนักและไม่รบกวนการมองเห็นของคนเรา นอกจากนี้เมื่อเยื่อหุ้มน้ำวุ้นตาด้านนอกเกิดการหดตัวลง ก็จะเกิดการแยกชั้นออกจากจอประสาทตาได้ อย่างไรก็ตาม อาการ Floater ยังสามารถเกิดได้อีกหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเลือดออกในน้ำวุ้นตา (Vitreous haemorrhage), ตะกอนแคลเซียมในน้ำวุ้นตา (Asteroid hyalosis) หรือแม้แต่น้ำวุ้นตาอักเสบ (Vitritis) ได้อีกด้วย
Floater เกิดขึ้นกับใครบ้าง ?
อาการ Floater เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่มักจะต้องใช้สายตาจ้องกับจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานได้อีกด้วย โดยการจ้องจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะทำให้จอประสาทตาทำงานอย่างหนัก และทำให้ตาเกิดการเสื่อมสภาพไวขึ้น
Floater และ Flashing เกี่ยวข้องกันหรือไม่
อาการจุดดำในตา (Floater) และอาการเห็นไฟแวบในตา (Flashing) เป็นอาการที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เพราะน้ำวุ้นลูกตาเมื่อเกิดการหดตัวและแยกตัวออกจากจอประสาทตาก็จะเกิดการดึงรั้งจอประสาทตา กระตุ้นสัญญาณรับภาพที่จอประสาทตา ทำให้เหมือนมีแสงวูบวาบเกิดขึ้นในดวงตา โดยอาการเหล่านี้จะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่นานหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ Floater สามารถหายเองได้ แต่ Flashing หากไม่ทำการรักษาก็อาจจะทำให้จอประสาทตาเกิดการหลุดลอกได้
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากอาการ Floater
เมื่อน้ำวุ้นในตาเกิดการแยกตัวกับจอประสาทตาก็อาจจะทำให้เกิดการดึงรั้งจอประสาทตาบางส่วน ทำให้เกิดการกระตุกของจอตาจนทำให้เห็นแสงวูบวาบ คล้ายฟ้าแลบ ซึ่งอาการนี้หากไม่รีบทำการรักษาก็อาจจะทำให้จอประสาทตาฉีกขาดและน้ำในลูกตาซึมเข้าไปจนทำให้จอตาลอกหลุดได้ ซึ่งสามารถมีโอกาสเกิดขึ้นได้ถึง 15 % และจะต้องทำการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ เพื่อให้รอยฉีกขาดยึดด้วยกันได้ถาวร แต่ถ้าหากจอประสาทตาหลุดลอกไปแล้วก็จำเป็นจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดแทนค่ะ โดยปัจจัยเสี่ยงของโรคจอประสาทตาหลุดลอกก็ได้แก่ อายุที่มากขึ้น, สายตาสั้น, โรคจอประสาทตาอักเสบ และอุบัติเหตุร้ายแรงกับดวงตา
การตรวจจอประสาทตา
ในกรณีที่มีอาการจุดดำ หรือเห็นแสงวูบวาบเกิดขึ้นในดวงตาติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ควรจะไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคให้แน่นอน โดยการตรวจจอประสาทตา ผู้ป่วยจะได้รับการหยอดยาขยายม่านตา เพื่อให้จักษุแพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยได้อย่างละเอียดด้วยกล้อง แต่ก็ในการตรวจวิธีนี้อาจจะทำให้รู้สึกตาพร่ามัวไปหลายชั่วโมงหลังการตรวจ จึงควรจะมีผู้ที่สามารถนำทางได้เพื่อพากลับบ้านได้ และควรจะสวมแว่นกันแดดเพื่อให้ตาไม่โดนแสงแดดจัด ๆ
วิธีการรักษา
เนื่องจาก Floater ไม่ใช่อาการที่อันตรายเท่าไรนักจึงไม่ต้องทำการรักษาโดยแพทย์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีการรักษาหรือวิธีการป้องกันใด ๆ ช่วยให้อาการเหล่านี้หายไปได้ นอกจากการไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการและตรวจวินิจฉัยว่ามีอาการน้ำวุ้นลูกตาฉีกขาดหรือไม่
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อาการที่ร้ายแรงอะไร แต่อาการ Floater ก็เป็นสัญญาณเริ่มแรกของภาวะเสื่อมของดวงตา ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกต และหลีกเลี่ยงการใช้สายตาจ้องกับจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นาน ๆ หรือไม่ก็ควรพักสายตาบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ดวงตาต้องทำงานหนัก เพียงเท่านี้เราก็สามารถจะชะลอภาวะวุ้นในตาเสื่อมได้แล้วล่ะ แล้วก็อย่าลืมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตามาก ๆ ดวงตาจะได้ใสปิ๊งเป็นหน้าต่างของดวงใจเราต่อไปนาน ๆ นะครับ
#2
โดย:
gopfiie
[IP: 171.96.240.xxx]
เมื่อ:
2015-01-19 13:38:06
ที่มาครับ http://health.kapook.com/view109727.html
สามารถหาภาพและลิงค์วิดีทัศน์ได้ที่นี่เลยครับ
ชื่อผู้ตอบ:
Visitors:
105,555
ดวงตา อวัยวะสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกาย เป็นอวัยวะที่ทำให้เรามองเห็นได้ แถมยังบอบบางมากกว่าที่เราคิด ดังนั้น เราต้องสำรวจความเปลี่ยนอยู่แทบจะตลอดเวลา เพราะหากเกิดความผิดปกติเพียงนิดเดียวก็อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายของดวงตาได้ อย่างเช่นอาการเห็นจุดดำลอยไปมาในดวงตา บางคนเห็นปุ๊บอาจจะตกใจจนต้องไปพบจักษุแพทย์ แล้วพอไปตรวจก็ถูกสรุปอาการด้วยคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยอย่างคำว่า Floater ก็ยิ่งทำให้ยิ่งกังวลอีกว่าเจ้าอาการนี้จะทำให้ตาบอดหรือไม่ แต่อย่าเพิ่งกังวลใจจนเกินไปค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมขอพาทุกท่านไปรู้จักกับอาการ Floater หรืออาการมองเห็นจุดดำในดวงตา ว่าจริง ๆ แล้วอาการเหล่านี้คืออะไร มีที่มาอย่างไร และจะมีวิธีการรักษาหรือการป้องกันอย่างไร ถ้าอยากให้ดวงตาอยู่กับเราไปนาน ๆ ก็ห้ามพลาดเด็ดขาดเลย
Floater คืออะไร ?
โฟลตเตอร์ (Floater) หรือที่มีชื่อเรียกแบบเข้าใจง่ายว่า ตะกอนในน้ำวุ้นตา มีลักษณะเป็นใย หรือจุดดำเล็ก ๆ ในดวงตาสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ มักจะมองเห็นได้ชัดเมื่อต้องมองไปยังบริเวณที่มีเป็นพื้นเรียบ ๆ ที่สว่าง ๆ เช่น สถานที่กลางแจ้งแดดจ้า มักจะเกิดขึ้นร่วมกับอาการ ไฟแวบในดวงตา (Flashing) ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะเสื่อมของน้ำวุ้นลูกตา ทีเกิดขึ้นได้เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น โดยจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล แต่อาการดังกล่าวไม่มีความอันตรายต่อดวงตาหรือการมองเห็นแต่อย่างใด และอาการมักจะหายไปในเวลาไม่นาน เนื่องจากร่างกายมีการปรับตัวให้ดวงตามองเห็นจุดดำที่ลอยไปมาน้อยลง
สาเหตุของ Floater
เมื่อคนเราอายุมากขึ้น น้ำวุ้นในลูกตาจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยจะหดตัวลงและแปรสภาพจากวุ้นกลายเป็นน้ำ ทำให้เกิดตะกอนลอยในดวงตา แต่ก็ไม่มีมากนักและไม่รบกวนการมองเห็นของคนเรา นอกจากนี้เมื่อเยื่อหุ้มน้ำวุ้นตาด้านนอกเกิดการหดตัวลง ก็จะเกิดการแยกชั้นออกจากจอประสาทตาได้ อย่างไรก็ตาม อาการ Floater ยังสามารถเกิดได้อีกหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเลือดออกในน้ำวุ้นตา (Vitreous haemorrhage), ตะกอนแคลเซียมในน้ำวุ้นตา (Asteroid hyalosis) หรือแม้แต่น้ำวุ้นตาอักเสบ (Vitritis) ได้อีกด้วย
Floater เกิดขึ้นกับใครบ้าง ?
อาการ Floater เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่มักจะต้องใช้สายตาจ้องกับจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานได้อีกด้วย โดยการจ้องจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะทำให้จอประสาทตาทำงานอย่างหนัก และทำให้ตาเกิดการเสื่อมสภาพไวขึ้น
Floater และ Flashing เกี่ยวข้องกันหรือไม่
อาการจุดดำในตา (Floater) และอาการเห็นไฟแวบในตา (Flashing) เป็นอาการที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เพราะน้ำวุ้นลูกตาเมื่อเกิดการหดตัวและแยกตัวออกจากจอประสาทตาก็จะเกิดการดึงรั้งจอประสาทตา กระตุ้นสัญญาณรับภาพที่จอประสาทตา ทำให้เหมือนมีแสงวูบวาบเกิดขึ้นในดวงตา โดยอาการเหล่านี้จะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่นานหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน แต่จะแตกต่างกันตรงที่ Floater สามารถหายเองได้ แต่ Flashing หากไม่ทำการรักษาก็อาจจะทำให้จอประสาทตาเกิดการหลุดลอกได้
อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากอาการ Floater
เมื่อน้ำวุ้นในตาเกิดการแยกตัวกับจอประสาทตาก็อาจจะทำให้เกิดการดึงรั้งจอประสาทตาบางส่วน ทำให้เกิดการกระตุกของจอตาจนทำให้เห็นแสงวูบวาบ คล้ายฟ้าแลบ ซึ่งอาการนี้หากไม่รีบทำการรักษาก็อาจจะทำให้จอประสาทตาฉีกขาดและน้ำในลูกตาซึมเข้าไปจนทำให้จอตาลอกหลุดได้ ซึ่งสามารถมีโอกาสเกิดขึ้นได้ถึง 15 % และจะต้องทำการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ เพื่อให้รอยฉีกขาดยึดด้วยกันได้ถาวร แต่ถ้าหากจอประสาทตาหลุดลอกไปแล้วก็จำเป็นจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดแทนค่ะ โดยปัจจัยเสี่ยงของโรคจอประสาทตาหลุดลอกก็ได้แก่ อายุที่มากขึ้น, สายตาสั้น, โรคจอประสาทตาอักเสบ และอุบัติเหตุร้ายแรงกับดวงตา
การตรวจจอประสาทตา
ในกรณีที่มีอาการจุดดำ หรือเห็นแสงวูบวาบเกิดขึ้นในดวงตาติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ควรจะไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคให้แน่นอน โดยการตรวจจอประสาทตา ผู้ป่วยจะได้รับการหยอดยาขยายม่านตา เพื่อให้จักษุแพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยได้อย่างละเอียดด้วยกล้อง แต่ก็ในการตรวจวิธีนี้อาจจะทำให้รู้สึกตาพร่ามัวไปหลายชั่วโมงหลังการตรวจ จึงควรจะมีผู้ที่สามารถนำทางได้เพื่อพากลับบ้านได้ และควรจะสวมแว่นกันแดดเพื่อให้ตาไม่โดนแสงแดดจัด ๆ
วิธีการรักษา
เนื่องจาก Floater ไม่ใช่อาการที่อันตรายเท่าไรนักจึงไม่ต้องทำการรักษาโดยแพทย์ และในปัจจุบันก็ยังไม่มีการรักษาหรือวิธีการป้องกันใด ๆ ช่วยให้อาการเหล่านี้หายไปได้ นอกจากการไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการและตรวจวินิจฉัยว่ามีอาการน้ำวุ้นลูกตาฉีกขาดหรือไม่
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อาการที่ร้ายแรงอะไร แต่อาการ Floater ก็เป็นสัญญาณเริ่มแรกของภาวะเสื่อมของดวงตา ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกต และหลีกเลี่ยงการใช้สายตาจ้องกับจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นาน ๆ หรือไม่ก็ควรพักสายตาบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ดวงตาต้องทำงานหนัก เพียงเท่านี้เราก็สามารถจะชะลอภาวะวุ้นในตาเสื่อมได้แล้วล่ะ แล้วก็อย่าลืมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตามาก ๆ ดวงตาจะได้ใสปิ๊งเป็นหน้าต่างของดวงใจเราต่อไปนาน ๆ นะครับ
สามารถหาภาพและลิงค์วิดีทัศน์ได้ที่นี่เลยครับ